เป็นอานิสงส์ที่ ๓ แม้เก่าเพราะการใช้สอย
ก็ไม่ต้องเย็บ นี้เป็นอานิสงส์ที่
หาอีกก็ทำได้ง่าย นี้เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๕
สมควรแก่การบวชเป็นดาบส นี้เป็นอานิสงส์
ข้อที่ ๖ พวกข้าศึกไม่ใช้ นี้เป็นอานิสงส์
ข้อที่ ๗ ไม่ใช่เป็นเครื่องประดับของผู้ใช้
นี้เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๘ เป็นของเบาในเวลา
ครอง นี้เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๙ เป็นของผู้มี
ความปรารถนาน้อยในจีวรเป็นปัจจัย นี้เป็น
อานิสงส์ข้อที่ ๑๐ ความไม่มีโทษของผู้ทรง
ธรรม เพราะเกิดแต่เปลือกไม้ นี้เป็นอานิสงส์
ข้อที่ ๑๑ แม้เมื่อผ้าคากรองพินาศไปก็ไม่อา-
ลัย นี้เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๑๒.
บทคาถาว่า อฏฺฐโทสสมากิณฺณํ
อฏฺฐโทสสมากิณฺณํ ปชหึ ปณฺณสาลกํ
อุปาคมึ รุกฺขมูลํ คุเณหิ ทสหุปาคตํ ดังนี้
ถามว่า สุเมธบัณฑิต ละผ้านั้นได้อย่างไร ?
ตอบว่า นัยว่า สุเมธบัณฑิตนั้นเมื่อจะเปลื้องผ้าสาฎกทั้งคู่นั้น ถือเอา
ผ้าคากรองที่ย้อมแล้ว เช่นกับพวงดอกอังกาบ ซึ่งพาดอยู่ที่ราวจีวร นุ่งแล้ว
ก็ห่มผ้าคากรองมีสีเหมือนสีทองคำอีกผืนหนึ่งทับผ้านุ่งนั้น แล้วทำหนังเสือ
เหลืองมีกีบเท้าเช่นกับสัณฐานดอกบุนนาค ให้เป็นผ้าอยู่บนบ่าข้างหนึ่ง แล้ว
สวมใส่มณฑลชฎา สอดหมุดแข็งกับมวยผม เพื่อต้องการทำให้ไม่หวั่นไหว
No comments:
Post a Comment